ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่อง
เพื่อให้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น โปรแกรม DOX, UNIX หรือ Windows เป็นต้น
การมีซอร์ฟแวร์ระบบหรือโปรแกรมระบบปฏิบัติการนี้ทำให้สามารถเพิ่มโปรแกรมลงไปในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายอีกด้วย
เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน ซอร์ฟแวร์ระบบนี้จะถูกโหลด (load)
ขึ้นมาทำงานเป็นลำดับแรก
2.1 ระบบปฏิบัติการคืออะไร
ระบบปฏิบัติการ
คือ โปรแกรมที่ถูกสร้างโดยซอร์ฟแวร์หรือเฟิร์มแวร์ (firmware คือ
โปรแกรมที่ประกอบด้วยไมโคโค้ดโปรแกรม ซึ่งเก็บอยู่ในหน่วยความจำ ROM และ PROM ) หรือทังซอร์ฟแวร์
และเฟิร์มแวร์
เพื่อให้ฮาร์ดแวร์สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีความถูกต้องแม่นยำ
ความสำคัญของระบบปฏิบัติดาร
ถ้ามีรถยนต์อยู่แต่ขับไม่เป็น
รถยนต์คันดังกล่าวก็จะไม่มีประโยชน์เลย คอมพิวเตอร์ก็เช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเพียงใดก็ตาม
ถ้าหากเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าว
ไม่มีระบบปฏิบัติการคอยควบคุมการทำงานซึ่งเปรียบได้กับรถยนต์ที่ไม่มีคนขับ เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวก็จะไม่มีประโยชน์เลย
ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงมีความสำคัญเปรียบเสมือนกับคนขับรถยนต์ที่ต้องควบคุมรถให้เดินทางถึงที่หมายอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ระบบปฏิบัติการก็จะต้องควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามที่ต้องการเพื่อให้ไดเผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
ในปัจจุบันระบบปฏิบัติการไม่ได้นำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ต่างๆ เช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่
เครื่องเล่นเกมหรือแม้กระทั่งเครื่องซักผ้า
ก็มีระบบปฏิบัติการในการควบคุมการทำงานต่างๆ เช่นกัน
แต่จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบสำหรับอุปกรณ์นั้นๆ โดยเฉพาะ
2.2 หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ
หน้าที่ของระบบปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
หน้าที่หลัก คือ จัดการทรัพยากรต่างๆ
ภายในระบบ ได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ อุปกรณ์ อินพุต-เอาต์พุต
อุปกรณ์สื่อสาร และข้อมูล
หน้าที่รอง ประกอบด้วย
1. เป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์กับผู้ใช้ (user interface) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงาน ของฮาร์ดแวร์ได้
ซึ่งการติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับผู้ใช้อาจอยู่ในรูปของตัวอักษรหรือรูปภาพ (Graphic
User Interface: GUI) ดังรูป
ลักษณะการทำงานของ OS ในการเป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์กับผู้ใช้
|
1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์ร่วมกันได้
ในองค์กรส่วนใหญ่จะมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 1 คน ขึ้นไป
และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์เก็บข้อมูล
เป็นต้น
2. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน
ระบบปฏิบัติการอนุญาตให้ผู้ใช้แต่ละคนมีสิทธิในข้อมูลนั้นๆ
และช่วยจัดคิวของผู้ใช้ในการเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำ
3. แก้ไขปัญหาการทำงานของระบบ
ในการทำงานของคอมพิวเตอร์บางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำงานอยู่
ระบบปฏิบัติการจะทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้ระบบมีเสถียรภาพอยู่เสมอ
4. ช่วยให้หน่วยอินพุต-เอาต์พุตทำงานได้คล่องตัว
ในการติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุตต่างๆ
ต้องอาศัยระบบปฏิบัติการเพื่อให้ระบบต่างๆ ทำงานได้ถูกต้องและสอดคล้องกัน
5. คำนวณทรัพยากรที่ใช้ไป
ในการใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นเราต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ
ที่จำเป็นต่อระบบปฏิบัติการจะช่วยคำนวณทรัพยากรที่ใช้ไปแล้ว
เพื่อให้ผู้ใช้ใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
6. ช่วยให้ระบบทำงานเป็นแบบขนาน
ระบบปฏิบัติการจะแบ่งการทำงานเป็นส่วนๆ เรียกว่า โปรเซส (Process) ซึ่งจะทำให้การทำงานเสร็จเร็วยิ่งขึ้น
7. จัดการโครงสร้างของข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อข้อมูลและมีการเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
8. ควบคุมการติดต่อสื่อสารในระบบเครือข่าย
เนื่องจากในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีการับส่งข้อมูลต่างๆ
ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่ในระบบ ซึ่งการติดต่อสื่อสารต่างๆ
ที่เกิดขึ้นนั้นต้องอาศัย ระบบปฏิบัติการในการควบคุมการทำงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
2.3 หลักการทำงานของระบบปฏิบัติการ
เนื่องจากการทำงานของระบบปฏิบัติการ
คือ การจักการโปรแกรมต่างๆ ที่กำลังทำงานให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งโปรแกรมต่างๆ ที่กำลังทำงานอยู่นั้น เรียกว่า “โปรเซส (Process)” ดังนั้นในการอธิบายหลักการทำงานของระบบปฏิบัติการ
จะขอกล่าวถึงวิธีจัดการทำงานโปรเซสของระบบปฏิบัติการว่ามีกระบวนการอย่างไรบ้าง เมื่อระบบปฏิบัติการสร้างโปรเซสขึ้นมา
ก็จะมีการนำโปรเซสดังกล่าวเข้าสู่ระบบการทำงาน ดังแสดงในรูป
ซึ่งขั้นตอนการทำงานจะแบ่งตามสถานะของโปรเซส ดังนี้
1) สถานะพร้อม (ready state) หมายถึง สถานะของโปรเซสใหม่ที่พร้อมจะเข้าใช้งาน CPU เมื่อ ระบบปฏิบัติการให้โปรเซสดังกล่าวเข้าใช้งานได้
2) สถานะทำงาน ( running state) หมายถึง
สถานะของโปรเซสที่กำลังใช้ CPU ในการทำงานตามความต้องการของโปรเซสนั้น
และเมื่อหมดเวลาในการเข้าใช้งาน CPU ที่ระบบปฏิบัติการกำหนดไว้โปรเซสดังกล่าวก็จะกลับมาอยู่ในสถานะพร้อมเพื่อรอใช้งาน CPU ในครั้งต่อไป
3) สถานะติดขัด ( blocked state) หมายถึง
สถานะของโปรเซสที่หยุดหารทำงานเพื่อรอเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้น
ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโปรเซสที่กำลังทำงานอยู่ต้องมีการติดต่อกับอุปกรณ์อินพุต-เอาต์พุต
โปรเซสที่อยู่ในสถานะทำงานก็จะเปลี่ยนมาเป็นโปรเซสที่อยู่ในสถานะติดขัด
เพื่อเปิดโอกาสให้โปรเซสอื่นสามารถเข้าใช้งาน CPU ได้
4) สถานะแน่นิ่ง (deadlocked ) หมายถึง
สถานะของโปรเซสที่หยุดการทำงานเพื่อรอเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีวันจะเกิดขึ้น
ซึ่งสถานะดังกล่าวนี้จะทำให้โปรแกรมที่ใช้อยู่หยุดค้างการทำงาน (hang) หรืออาจจะทำให้คอมพิวเตอร์หยุดค้างการทำงานได้เช่นกัน
2.4 ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการประกอบด้วย 2 ส่วน
เคอร์เนล (kernel) หมายถึง
ส่วนกลางของระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนแรกที่ถูกเรียกมาใช้งาน
และจะฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำหลักของระบบ ดังนั้น เคอร์เนลจึงต้องมีขนาดเล็ก
โดยเคอร์เนลจะมีหนีที่ในการติดต่อและควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมใช้งาน
(application programs)
โปรแกรมระบบ (system programs ) คือ
ส่วนของโปรแกรมการทำงานของระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้
และผู้จัดการระบบ ( system administrator)
2.5 คุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติในการทำงานแบบต่างๆดังนี้
-
แบบหลายผู้ใช้ (multi-user)
หมายถึง ระบบปฏิบัติการที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานตั้งแต่ 2
คนขึ้นไปสามารถเลือกใช้งานโปรแกรมได้ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์
- แบบมัลติโปรเซสซิ่ง
(multiprocessing) หมายถึง ระบบปฏิบัติการซึ่งสามารถใช้ CPU มากกว่า 1 ตัว ในการประมวลผล หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ระบบปฏิบัติการที่มีการประมวลผลแบบขนาน (parallel processing)
-
แบบมัลติทาสกิ้ง (multitasking)
หมายถึง ระบบปฏิบัติการที่อนุญาตให้ใช้งานโปรแกรมได้มากกว่า 1 โปรแกรมในเวลาเดียว
โดยระบบปฏิบัติการแบบมัลติทาสกิ้งจะทำการแบ่งเวลาการใช้งาน CPU ของโปรแกรมแต่ละตัว ทำให้สามารถใช้งานโปรแกรมได้พร้อมกัน
- แบบมัลติทรีดดิ้ง (multithreading) หมายถึง ระบบปฏิบัติการที่อนุญาตให้ส่วนต่างๆ
(thread) ภายในโปรแกรมเดียวกันสามารถทำงานได้พร้อมกัน
- แบบเวลาจริง
(real time) หมายถึง
ระบบปฏิบัติการที่ตอบสนองต่ออินพุตแบบทันทีทันใด
จะเป็นระบบปฏิบัติการทีสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เฉพาะงาน
ในบางครั้งความหมายของมัลติโปรเซสซึ่งก็อาจหมายถึง
ระบบปฏิบัติการที่เป็นแบบมัลติทาสกิ้งก็ได้ แต่จะ
แตกต่างกันที่แบบมัลติทาสกิ้งจะเป็นการใช้งานโปรแกรมบนระบบที่มีซีพียูเพียงตัวเดียวเท่านั้น
2.6 ประเภทของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ถูกนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ไปจนถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอขนาดพกพา แบ่งออกได้ 3
ประเภท คือ
- ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand alone OS)
นิยมใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานแบบทั่วไป เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้านหรือสำนักงาน
ซึ่งจะถูกติดตั้งระบบปฏิบัติการนี้ไว้รองรับการทำงานบางอย่าง เช่น พิมพ์งาน ดูหนัง
ฟังเพลง เป็นต้น
- ระบบปฏิบัติการเครือข่าย ( Network OS หรือ NOS )
เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกออกแบบมาสำหรับจัดการงานด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์
และช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่กับเครือข่ายใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์
หรือเครื่องพิมพ์ร่วมกันได้
- ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embeded OS )
เป็นระบบปฏิบัติการที่พบเห็นได้กับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก เช่น พีดีเอหรือสมาร์ทโฟน
บางรุ่นสามารถช่วยในการทำงานแบบเคลื่อนที่ได้ เป็นระบบที่เกิดขึ้นมาหลังสุด
บางรุ่นระบบมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว เช่น
รองรับการทำงานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว ( Stand-alone OS )
DOS ( DiskOparating system)
DOS เป็นระบบปฏิบัติการบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์พีซี ( Personal
computer: PC) ของบริษัทไอบีเอ็ม ( IBM ) หรือเครื่องไอบีเอ็มคอมแพตติเบิ้ล ( IBM compatible PC )
ที่เคยเป็นที่นิยมใช้งานมากในอดีตหรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีการใช้งานกันอยู่ ดอส
เป็นระบบปฏิบัติการที่มีลักษณะการทำงานเป็นแบบงานเดียว ( Single Task) หมายความว่าที่มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานใดอยู่
จะต้องรอจนกว่างานนั้นเสร็จก่อนจึงจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างอื่นต่อไป
DOS เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากในหมู่ที่ใช้เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
เป็นผลงานของบริษัทไมโครซอฟท์คอร์เปอร์เรชั่น( Microsoft
corporation ) ความเป็นมาเริ่มจากที่บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างไมโครคอมพิวเตอร์มีชื่อว่าพีซี
และว่าจ้างบริษัทไมโครซอฟท์ให้ช่วยออกแบบระบบปฏิบัติการของเครื่องพีซีนี้
โดยใช้ชื่อว่าพีซีดอส ( PC – DOS )
เครื่องพีซีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนมีบริษัทอื่นๆ
สร้างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เลียนแบบเครื่องไอบีเอ็ม ซึ่งสามารถทำงานได้เหมือนกัน
เป็นเครื่องแบบเดียวกัน
Windows
Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่สนับสนุนการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง
ซึ่งต่างจากระบบปฏิบัติการDOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบงานเดี่ยว
และผู้ใช้ต้องจดจำคำสั่งต่างๆ เป็นจำนวนมาก
บริษัทไมโครซอฟท์จึงคิดค้นและพัฒนาโปรแกรมระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้และใช้รูปภาพแทนคำสั่งต่างๆ
นั้นคือ ระบบปฏิบัติการ windows
ในการที่จะใช้ windows นั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมีประสิทธิภาพสูง
ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ในระยะแรก windowsจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรอย่างไรก็ตามวงการคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่ราคาถูกลง
ด้วยเหตุนี้เอง windows จึงเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกจับตามอง
และในปี ค.ศ. 1990 บริษัทไมโครซอฟท์ได้พัฒนา windows 3.0 และได้รับความนิยมอย่างสูง ไมโครซอฟท์จึงพัฒนา windows 3.1 และ windows 3.11 ส่งผลให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายคนหันมาใช้windows
Mac OS X
ในปี 1984
บริษัทแอปเปิ้ลได้วางจำหน่ายระบบปฏิบัติการ Mac OS สำหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช
โดยมีการเชื่อมต่อกบผู้ใช้ผ่านทางรูปภาพทำให้ใช้งานง่าย ระบบนี้จะสนับสนุนการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง
สำหรับรุ่นในปัจจุบัน คือ Mac OS X (อ่านว่า
แมคโอเอสเท็น) ตัวนี้สามารถแสดงวีดีโอแบบ 3 มิติได้
สนับสนุนงานบนเครือข่ายและงานด้านมัลติมีเดียได้อย่างดี
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย ( Network OS)
Windows server
Windows server เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับภายในองค์กร จัดการด้านเครือข่าย
และความปลอดภัยสูง ผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟท์ รุ่นแรกที่มีชื่อว่า Windows
NT จากนั้นได้พัฒนาคุณสมบัติต่างๆ เพิ่มขึ้นมีเสถียรภาพสูงขึ้น
ปัจจุบันพัฒนามาถึงเวอร์ชั่น Windows Server 2012
Unix
ยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่อนุญาตให้มีผู้ใช้พร้อมๆ กันได้หลายคน
จึงต้องมีวิธีป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคน
โดยผู้ใช้แต่ละคนจะมีพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ส่วนตัวไว้ใช้งาน ซึ่งพื้นที่นี้เรียกว่า
โฮมไดเรคทอรี (home directory) หรือไทเรกทอรีบ้าน
ผู้ใช้มีสิทธิทุกประการ ในการอ่าน เขียน บนไทเรกทอรีบ้านของตนอย่างอิสระ
ส่วนไดเรกทอรีบ้านของคนอื่นนั้น อยู่ที่ผู้ใช้คนอื่นจะยินยอมหรือไม่
ซึ่งผู้ใช้ทุกคนมีสิทธิใช้ทรัพยากรส่วนรวม
โดยผู้บริหารระบบจะเป็นผู้จัดการการใช้สิทธิของผู้ใช้แต่ละคน
การที่ผู้ใช้มีความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้จึงต้องมีรหัสผ่านเพื่อใช้เข้าใช้ระบบของตนเอง
ยูนิกส์มีวิธีการในการเข้าสู่ระบบที่เรียกว่า การล็อกอิน (log in) โดยจะมีสิ่งที่เรียกว่า login prompt ให้เมื่อจะเข้าสู่ระบบ
Linux
ลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยใช้แนวทางของระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ใช้โค้ดที่เขียนและเผยแพร่ในแบบ โอเพ่นซอร์ส (open source) ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับระบบเครือข่าย
และเหมาะกับการทำงานเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์
นอกจากนั้นยังมีการนำลีนุกซ์มาใช้ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน
เพราะระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งมีราคาถูกแต่ประสิทธิภาพสูงได้และในปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาลีนุกซ์ให้มีความเหมาะสมในการใช้งานแบบเดสก์ท็อปด้วย
สำหรับประเทศไทยมีลีนุกซ์ที่พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์
และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โดยมีชื่อว่า Linux
TLE ( Thai Language Extention)
Solaris
Solaris หรือในชื่อเต็ม The solaris Operating
Environment เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบยูนิกซ์
ที่พัฒนาโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์
รองรับการทำงานด้านเครือข่ายที่ออกแบบสำหรับงานด้านโปรแกรม E-commerce
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embeded OS)
ระบบปฏิบัติการแบบนี้จะพบเห็นการใช้งานในอุปการณ์คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา
ซึ่งจะแตกต่างจากระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
เพราะระบบปฏิบัติการนี้อยู่ภายใน Flash ROM ส่วนระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจะเป็นตัวเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท๊อป
Windows Phone
สิบปีที่แล้วบริษัทไมโครซอฟท์ออกแบบโปรแกรมระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ขนาดมือถือ
(Handheld Personal
Computer: HPC) รวมถึงโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน
ด้วยเพื่อแข่งจันทางการตลาดกับระบบปฏิบัติการ Plam OS แต่เนื่องจาก HPC มีทรัพยากรจำกัด คือ
มีหน่วยความจำน้อย ซีพียูที่ไม่เร็วนัก มีจอขนาดเล็ก และไม่มีเมาส์
บริษัทไมโครซอร์ฟจึงตัดสินใจสร้างระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ HPC โดยเฉพาะชื่อ Windows CE (Windows
Consumer Electronics : WinCE) ซึ่งแกนหลักของ WinCE มีขนาดเพียง 1 เมกกะไบต์ ถูกนำไปใช้เป็นส่วนสำคัญของระบบปฏิบัติการหลายตัว
และในเวอร์ชั่น 3 ขึ้นไป เปลี่ยนชื่อเป็น Windows PC 2000 และ Pocket PC 2002 หลังจากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Windows
Mobile และเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Phone ในที่สุด
Symbian OS
ระบบปฏิบัติการ Symbian เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย
(wireless)
และเป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้ในงานกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลักโดยเฉพาะสมาร์ทโฟน
ระบบ Symbian เกิดขึ้นและพัฒนาการมาจากการที่เป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในการผลิตซอร์ฟแวร์ที่รองรับการสื่อสารแบบไร้สาย
เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1998 ซึ่งในขณะนั้นมีพันธมิตรร่วมกัน 4 รายใหญ่
คือ Ericsson, Nokia, Motorola, และ PSION ถัดมาในปี ค.ศ. 1999 Symbian ก็ได้พันธมิตรเพิ่มอีกคือ Panasonic และในปี 2000 ก็ได้มีการจับมือกับ Sony,
Sanyo, Siemens
Blackberry
ระบบปฏิบัติการนี้เป็นระบบปฏิบัติการที่คิดค้าและพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Research
in Motion หรือ RIM ความสามารถหลักๆ
คือรองรับการใช้งานองค์กร
ในการรับส่งอีเมล์ในเชิงธุรกิจที่เน้นความปลอดภัยเป็นอย่างสูง
แต่ระบบปฏิบัติการนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องสมาร์ทโพนค่าย Blackberry เท่านั้น คุณสมบัติโดดเด่นคือ Blackberry Messenger หรือ BBM
i0s
ระบบปฏิบัติการนี้ใช้สำหรับสมาร์ทโฟนของบริษัทแอปเปิ้ล
โดยเริ่มต้นพัฒนาสำหรับใช้ในโทรศัพท์ไอโพน และได้พัฒนาต่อใช้สำหรับ ไอพอดทัช และไอแพด
และเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม คุณสมบัติโดดเด่นหลังที่เห็นได้ง่ายก็คือ
เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Single OS ที่ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน
ไอพอดทัช ไอแพด รุ่นไหนๆก็สามารถอัพเกรด ระบบปฏิบัติการใช้ได้เหมือนกันหมด
แถมโดดเด่นด้วยแอพพลิเคชั่นเสริมมากมายมีให้เลือกดาวน์โหลดกัน
ครบครันทุกความต้องการใช้งาน
แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ระบบปฏิบัติการนี้ไม่สามารถที่จะเสริมเติมแต่งอะไรเข้าปเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่แอปเปิ้ลจัดสรรมาให้เท่านั้น
Android
แอนดรอยด์
เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊ก
ทำงานบนลีนุกซ์ เคอร์เนล เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์
จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิลและนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อทางกูเกิลได้เปิดฟรีแวร์
จึงทำให้ค่ายผู้ผลิตมือถือต่างๆสนใจนำระบบปฏิบัติการนี้ไปติดตั้งลงในเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนเอง
เช่น Samsung, LG, HTC, Sony Ericsson, Motorola หรือแม้กระทั่งแบรนด์ไทยๆ
อย่าง i-Mobile ด้วยความที่เป็นฟรีแวร์จึงทำให้ราคาค่างวดของโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์มีราคาไม่สูงมากนัก
แต่มีการใช้งานที่ครบครัน และผู้ใช้สามารถเสริม เพิ่ม แต่ง ดัดแปลง
รูปแบบการใช้งานได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น